ความเป็นมาของคำว่า ไสยศาสตร์
นี่คือความเข้าใจของคนไทยเกี่ยวกับไสยศาสตร์
การล่วงรู้ความลับของจักรวาล และความเป็นไปในโลกอย่างถ่องแท้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกล้วนแต่ถูกปรุงแต่งแปลงสภาพมาจาก ระบบธาตุในโลก กับ คลื่นพลังแสงดาวในจักรวาลคลุกเคล้าเข้ากับอากาศธาตุ ด้วยเหตุนี้มวลชีวิตและวัตถุทั้งหลายในโลก จึงถูกบังคับให้ดำเนินไปตามอำนาจของดวงดาวในจักรวาล อันเป็นรากฐานของวิชา “โลกธาตุ” หรือ “โลกศาสตร์” ซึ่งแต่เดิมเรียกกันว่า “ศิวศาสตร์” หรือ “ไศวศาสตร์” แปลว่าวิทยาการแห่งโลกแต่คำอินเดียอาจไม่ถูกปากถูกใจคนไทย จึงแปลงถ้อยคำให้สอดคล้องกับรสนิยมของตนเองว่า “ไสยศาสตร์”
สงครามล้างเผ่าพันธ์ใน..ราวันดา..(อย่าให้มันต้องเกิดในสยามเลย)รึว่าบางคนอยากให้เกิด

ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีอาชีพทางด้านกสิกรรมเป็นส่วนใหญ่

เผ่าฮูตู และตุดซี่

ต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นบริหารประเทศ แล้วแต่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง
รวันดา เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ประชาชนยากจน
อัตราการศึกษาของคนในชาติต่ำ การแบ่งปันทรัพยากรไม่เป็นธรรม
สังคมขาดความยุติธรรม ความขัดแย้งจึงมีขึ้นเป็นระยะ
พอมีความขัดแย้งกันก็มักใช้ความรุนแรงตอบโต้กันไปมา
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนั้น เกิดขึ้นในช่วง
6 เมษายน -กลางกรกฎาคม 2537 (100 วัน) เมื่อเผ่าฮูตู
ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศขึ้นเป็นรัฐบาล
มีการปล่อยให้ ทหารบ้านชาวฮูตูสะสมอาวุธ และปล่อยให้วิทยุ
โทรทัศน์ซึ่งเป็นสื่อสำคัญของรัฐที่เป็นชาวฮูตู
โหมกระพือความขัดแย้ง
มีการรังแกชาวตุดซี่จากความได้เปรียบที่ฝ่ายตนเป็นรัฐบาล
ชาวตุดซี่นำโดย นาย พอล คามากา ได้ตั้งกลุ่มชาวตุดซี่
ขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล "เรียกว่ากฎบตุดซี่
มี การใช้สื่อเพื่อปลุกระดม รวบรวมชาวตุดซี่ให้ลุกขึ้น
ต่อต้าน รัฐบาลชาวฮูตูเห็นว่าชักจะคุมชาวตุดซี่ไม่ได้จึง
มีการใช้มาตรการรุนแรง ให้ทหารรัฐ และ
ทหารบ้านชาวฮูตู คัดแยกชาวฮูตู ออกจากชาวตุดซี่
มีการ ประกาศปลุกระดมว่าชาวตุดซี่เป็นกบฎ
ถ้าไม่เห็นด้วยกับฮู ตูก็ให้ถือเป็นพวกตุดซี่ทั้งหมด
และเริ่มเกิดการฆ่าชาวตุดซี่ โดยทหารบ้านชาวฮูตู
ทหารบ้านก็พวกอาสาสมัครอะไรประมณเนี้ย
ชาวตุดซี่่จึงเริ่มมีกองกำลัง มีการใช้กำลัง
ลุกฮือขึ้นต่อสู้ จนถึงขั้นฆ่านายกรัฐมนตรีชาวฮูตูตาย

มีการฆ่า กันตายของคนทั้งสองฝ่ายทั่วรวันดา จากที่เคย
รักใคร่เป็นเจ้านายลูกน้องกัน เป็นเพื่อนรักกัน
จากที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ที่เป็นญาติพี่น้องกัน
ฆ่ากันตายมั่วไปหมด เกิดเหตุ จลาจล ปล้นสดมภ์ ข่มขืน
ในช่วงเวลา 100 วันตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนไป
จนถึงกลางเดือนกรกฎาคมในปี พ.ศ. 2537
ชนพื้นเมืองชาวตุดซี (Tutsi) และชนพื้นเมืองชาวฮูตู
(Hutu) ถูกสังหารไปปประมาณ 800,000-1,071,000 คน
สังคมของรวันดาล่มสลายหมด


เหตุผล ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่โหดเ้***
้ยมมอย่างนั้นขึ้นได้ ไม่มีสิ่งใด นอกจาก
"ความเกลียดชัง" ที่ปลุกฝังกันมาก่อนหน้านั้น
ให้เกลียดทุกเรื่องที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
มีบทสรุป ที่น่าสนใจของเหตุการณ์ครั้งนั้นที่
ได้ถ่ายทอด ออกมาเป็นหนังสือชื่อว่าสื่อมวลชน
กับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
(The Media and the Rwanda Genocide, Pluto Press, 2007)
ในหนังสือมีเนื้อหาหลักๆ ที่เป็นข้อถกเถียงที่น่าสนใจคือ
คำถามใหญ่ที่ว่า "สื่อมีบทบาทในการก่อให้เกิดความรุนแรงจริงหรือไม่ ?"

1. สื่อแพร่กระจายความเกลียดชังอย่างตั้งใจ ยุยงผ่านคำพูด เพลงปลุกระดม คำขวัญ บทกลอน
2. สื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานในการลงมือ
ก่อความรุนแรงระหว่างนักการเมือง หัวรุนแรงกับเครือข่าย
ของพวกเขา มีหลักฐานมากมายว่าสถานีวิทยุ RTLM…..
เช่นสหประชาติ ท่านนายพล Dallaire ประกาศ ที่ประเทศรวันดา
ว่า สนธิสัญญายุติสงคราม พี่น้องเผ่าฮูตูกับเผ่าตุ๊ด สิ้นสุดลงแล้ว
ท่ามกลางความดีใจของประชาชนในประเทศ รวันดา
|แต่รายการวิทยุ Hutu Power Radio กลับปลุกระดม
และกระจายเสียงให้ชนเผ่า ชาวฮูตู เกลียดและ
ให้ฆ่าพี่น้องชนเผ่าตุ๊ดชี่
3.สื่อ ทำหน้าที่ชี้นำสาธารณะให้เห็นว่าความรุนแรง
เป็นทางออกและไม่เห็นด้วยกับ การแก้ปัญหา
อย่างสันติวิธี วิทยุบางสถานีและหนังสือพิมพ์บางฉบับ
ใน รวันดา จงใจชี้นำสาธารณะชน ว่าความขัดแย้ง
ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นการต่อสู้ระหว่าง
"พวกเราคนส่วนใหญ่" กับ "พวกเขาคนส่วนน้อย"
"เป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว"
"สิ่งที่พวกตนกำลังดำเนินการอยู่เป็นเรื่องที่ทำได้ชอบธรรม
คุ้มกับสิ่งที่ต้องเสียไป "และนั่นคือส่วนหนึ่งของบทสรุป
ของเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ว่า
ทำไมถึงได้มียอดผู้เสียชีวิตมาก ถึง 800,000 คน






จนกระทั่ง คนที่อยู่ร่วมกันในสังคม แตกแยกกันอย่างสิ้นเชิง
เจ้านายเป็น ตุดซี่ ลูกน้องเป็น ฮูตู หรือ บ้างก็มี เจ้านายเป็นฮูตู
และลูกน้องเป็นตุดซี่ หรือเป็นเพื่อนบ้านกัน เป็นเพื่อนร่วม
โรงเรียนเดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมงานกัน แม้กระทั่ง
เป็นสามีภรรยากัน มีลูกกัน กลายเป็นญาติกัน
เป็นคนรักกันแต่ตอนหลังต้องมาขัดแย้งกัน
เรื่อง เล่าที่เป็นโศกนาฎกรรมคือ บางครอบครัว
หัวหน้าครอบครัวต้องลงมือสังหารบุตร และภรรยาของตนเอง
เพียงเพื่อให้ลูกๆ และภรรยาไม่ต้องตายอย่างทรมาน
เพราะหากปล่อยให้พวก ทหารบ้าน (อาสาสมัคร)
ฮูตูฆ่าเอง พวกนั้นจะตัดมือตัดแขน และปล่อย
ให้ตายเองอย่างทรมาน หลายครอบครัว
จึงขอลงมือสังหารเอง เนื่องจากไม่มีทางรอดแล้ว
มนุษย์ มีบทเรียนทางประวัติศาสตร์ให้ทบทวนมากมาย
แต่เหตุร้ายมักกลับมา หมุนเวียนไปที่นั่นที่นี่ เสมอๆ
จากยุโรป สู่ตะวันออกกลาง สู่กัมพูชา ไปจนถึงรวันดา
Credit:atcloud.com...
(คนชาติเดียวกันเกิดมาบนผืนแผ่นเดียวกัน..
แต่แบ่งแยกแบ่งเผ่ากัน..ผมว่ามัน คงไม่มีปัญหา..
จุดสำคัญคือคนที่อยากแบ่งแยกแบ่งความเป็นชาติเดียวกัน..
จุด สำคัญทีต้องสอยลงมา)
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ส่งต่อกันมา
การกดขี่คริสเตียนในประเทศเกาหลีเหนือ
To: kaochristian.editor@gmail.com
Subject: การกดขี่คริสเตียนในประเทศเกาหลีเหนือ
Date: Thu, 30 Sep 2010 11:33:20 +0000
Execution of Underground Chirstians in North Korea
Christiantoday.com (English and Thai)
นิตยสารคริสเตียนทูเดย์ออนไลน์
เกาหลีเหนือได้สังหารผู้นำคริสตจักรใต้ดินของเกาหลีเหนือ และสั่งคุมขังคริสเตียนอีก 20 คน
แม้ว่าการการสั่งลงโทษดังกล่าวจะเกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานานหลายเดือนแล้ว แต่เพิ่งจะมีข่าวเผยแพร่ออกมาในเดือนนี้
ตามการกล่าวอ้างของสำนักข่าวเอเชียนิวส์ ตำรวจเกาหลีเหนือได้บุกตรวจค้นบ้านของ คูวานดอง ในตำบล พยังซัง, จังหวัดพยังกอง ตำรวจได้จับกุมผู้เชื่อพระเยซูทั้ง 23 คนที่มารวมตัวกันเพื่อกิจกรรมทางศาสนา
ผู้นำคริสเตียนถูกประหารชีวิตหลังจากถูกจับกุมไม่นานนัก อีก 20 คนที่เหลือได้รับรายงานว่าถูกส่งไปค่ายใช้แรงงาน หมายเลข 15 ในเมือง ยอด๊อก ทั้ง 23 คนที่ถูกจับกุม ได้หันมานับถือพระเยซูหลังจากที่พวกเขาได้เดินทางไปทำธุรกิจที่ประเทศจีน และได้พบกับสมาชิกของคริสตจักรบางคนที่นั่น
กลุ่มเคลื่อนไหวชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์จากรัฐบาลเกาหลีเหนือที่ประการอยู่ในกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้ได้ยืนยันข่าวนี้ กลุ่มผู้เคลื่อนไหวนี้พยายามสร้างความตระหนักแก่สังคมโลกว่ามีการปฏิบัติที่ไม่ชอบธรรมอยู่ในประเทศเกาหลีเหนือ
เป็นเวลา 8 ปีมาแล้วที่กลุ่ม Open Doors ได้จัดลำดับประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่เลวร้ายที่สุดที่กดขี่และกวาดล้างคริสเตียน
ในปี ค.ศ. 2009 สมาคมผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า ผู้หญิงคริสเตียนคนหนึ่งอายุประมาณ 33 ปี ในขณะที่เธอพยายามแจกจ่ายพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เธอจับกุมและถูกยัดเยียดข้อหาเป็นสายลับให้แต่คนต่างชาติ ในที่สุดเธอถูกฆ่าตายต่อหน้าสาธารณชนในประเทศเกาหลีเหนือ
คาดว่ามีคริสเตียนในประเทศเกาหลีเหนือประมาณ 400,000 คน คนเหล่านี้ถูกข่มเหง ถูกคุมขัง ทรมาน และถูกทำทารุณกรรมต่อหน้าสาธารณะชนเพียงเพราะเจ้าหน้าที่รัฐบาลได้พบเห็นว่าพวกเขามีความเชื่อแบบคริสเตียน
การเป็นคริสเตียนในประเทศเกาหลีเหนือรัฐบาลของเขาถือว่าเป็นการความผิดทางอาญาร้ายแรง ประชาชนทุกคนถูกบังคับให้ยึดหมั่นกับลัทธิบูชาบุคคล การเชื่อหมั่นศรัทธาต่อผู้นำเผด็จการ และวิญญาณบรรพบุรุธของผู้นำเผด็จการ
ไม่มีความเชื่อทางศาสนาหรือลัทธิความเชื่อใดๆ ได้รับอนุญาตให้มีอยู่ในประเทศเกาหลีเหนือ
ประมาณการว่ามีผู้เชื่อที่เป็นคริสเตียนประมาณ 40,000-60,000 คน ถูกกักขัง หรือถูกส่งไปค่ายกักให้ใช้แรงงาน เพราะพวกเขาความเชื่อที่มีต่อพระเยซู
กลุ่ม The Voice of Martyrs Canada (กลุ่มเสียงร้องจากผู้พลีเพื่อพระคริสต์ในประเทศคานาดา) ได้กล่าวเรียกร้อง
ขอให้เราช่วยกันอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อพระเยซูในประเทศเกาหลีเหนือด้วย เพราะพวกเขาอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยอย่างมาก
ขอให้ผู้เชื่อพระเจ้าชาวเกาหลีเหนือมีโอกาสได้พบปะกัน และได้หนุนใจซึ่งกันและกันในความเชื่อ
แปลและเผยแพร่ โดย RW-
http://reewat.blogspot.com
ที่มา ของข่าว
http://www.christiantoday.com/article/north.korea.executes.underground.church.leaders/26540.htm
North Korea has executed three leaders of the underground church and jailed 20 other Christians, reports a news agency focused on Asia.
Although the execution and imprisonment happened in mid-May, news only got out this month.
According to AsiaNews, North Korean police raided a house in Kuwal-dong in Pyungsung county, Pyongan province, and arrested all 23 believers who were gathered there for religious activity.
The leaders were sentenced to death and soon after executed. The other 20 were reportedly sent to the infamous prison labour camp No 15 in Yodok. The 23 Christians had come to faith after some of them travelled to China on business and met with church members there.
North Korea Intellectual Solidarity, a group of North Korean defectors based in Seoul that seeks to raise awareness about injustice in North Korea, confirmed the events.
For eight straight years, Open Doors has ranked North Korea as the world's worst persecutor of Christians.
In 2009, the Associated Press reported that a 33-year-old Christian woman accused of distributing Bibles and "spying" for foreign countries was publicly executed in North Korea.
There are an estimated 400,000 Christians in North Korea who live under the constant threat of imprisonment, torture or public execution if authorities discover their Christian faith.
Being a Christian in North Korea is considered one of the worst crimes by the oppressive government. All citizens are forced to adhere to a personality cult revolving around the worship of the current dictator and his deceased father.
No other religious beliefs are allowed in the country.
An estimated 40,000 to 60,000 Christians are currently in prison labor camps because of their faith.
"Please pray for believers in North Korea who follow Jesus at great risk", urged The Voice of the Martyrs Canada.
"May they have opportunities to meet together and provide encouragement to one another."
http://www.christiantoday.com/article/north.korea.executes.underground.church.leaders/26540.htm
ความรู้เกี่ยวกับผี
ลักษณะคนถูกผีเข้าสิง

แต่เวลาเดียวกัน ก็มีการสั่งให้ผี "ออก" ฉะนั้นดูเหมือนว่าผีต้อง "เข้า" ถ้ามันถูกไล่ออก
ในมัทธิว 12:43-45 อธิบายด้วยว่า ร่างกายของมนุษย์ คือที่ ๆ ผีชอบอาศัยอยู่ และหาโอกาสที่จะอยู่มากกว่า 1 ตัวก็ได้ น่าแปลกเหมือนกัน การที่ผีเข้าหรือผีรบกวนนั้น อาจจะมีลักษณะเบาหรือรุนแรงก็ได้ แล้วแต่กรณี
ฉะนั้น บางคนบอกว่าคนที่ถูกผีรบกวนกับคนที่ถูกผีเข้าไม่เหมือนกัน อันนี้อาจจะเป็นความจริง ดูกิจการ 5:16 แต่วิธีรักษามีวิธีเดียว ฉะนั้น เราอาจจะไม่ต้องเสียเวลามากในการสังเกตว่าผีรบกวนหรือผีสิง เราต้องบอกผู้ที่ถูฏผีเข้าหรือผีรบกวนนั้นให้หายกลัว อธิบายว่าเป็นการสิงหรือการรบกวนก็แล้วแต่ ย่อมสามารถรับการปลดปล่อยได้โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์
เมื่อบุคคลอีกผู้หนึ่งเข้าครองในคนนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านด้วยกัน เช่น ดูลักษณะของคนที่ถูกผีเข้าในมาระโก มีถึง 7 ประการด้วยกัน
ลักษณะประการแรก เสียงเป็นเสียงของคนละคน
อาจจะใช้คนละภาษาที่เจ้าตัวไม่รู้เลย แต่บางทีอาจจะใช้เสียงเดียวกับเจ้าตัวได้ อันนี้ก็แล้วแต่กรณี แต่คนนั้นจะยอมรับบางสิ่งบางอย่างซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถยอมรับ เป็นสิ่งแปลก เช่น ความลับบางอย่างที่เจ้าตัวไม่อยากเปิดเผย ก็เปิดเผย เช่น มีคนหนึ่งที่ผีเข้า ผมบังคับวิญญาณชั่วในนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธให้ตอบว่ามาทำไม
วิญญาณชั่วตอบว่า "มาเพราะนายสั่งมา"
ผมย้ำอีกว่า "มาทำไม"
มันก็บอกว่า "มาเอาชีวิต"
ผมจึงถามว่า "ทำไมจะต้องมาเอาชีวิต"
วิญญาณชั่วก็บอกว่า "เพราะนอกใจ"
ใช่ คนนั้นที่ถูกผีเข้าได้นอกใจสามีของเขา วิญญาณชั่วได้เปิดเผยสิ่งนี้ซึ่งคนปกติคนนั้นไม่เคยเปิดเผย
เมื่อรู้แล้ว ผมไม่ได้บอกเขาว่า เขาไปทำมิดีมิร้ายอะไรมา เพราะถ้าบอก เขาต้องรับสารภาพโดยจำเป็นต้องรับสารภาพ มันไม่ได้มีความหมายอะไร
ผมจึงถามผู้หญิงคนนั้นว่า "คุณต้องการจะรับชีวิตใหม่อย่างแท้จริงไหม ถ้าต้องการจะรับชีวิตใหม่ คุณจะต้องสารภาพบาปของคุณก่อน แล้วการสารภาพบาปนี้ คุณจะต้องพูดจากใจจริงของคุณ ไม่ใช่ผมชี้ให้คุณบอก"
สุดท้ายเขาก็ยอมรับสารภาพ และวันนั้น วินาทีนั้นเอง ที่เขาสารภาพและต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถึงแม้ว่าเขาเคยต้อนรับมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยมั่นใจว่าเขาเองเป็นลูกของพระเจ้า เพราะบาปบางอย่างที่เขาไม่ได้สารภาพกับพระเจ้า สุดท้ายวันนั้นเป็นต้นมา ผีเข้าไปในตัวเขาไม่ได้ มารบกวนวนเวียนอยู่เหมือนกัน แต่เข้าไม่ได้ นี่คือลักษณะของคนที่ผีเข้า มันจะพูดในสิ่งที่ปกติเจ้าของหรือคนนั้นที่ถูกเิข้าจะไม่ยอมรับ
ลักษณะประการที่สอง มีการเปลี่ยนแปลงระบบร่างกาย
ประเดี๋ยวอาจจะมีฤทธิ์แรงสูง และต่อมาประเดี๋ยวอาจจะหมดแรง เช่น ผู้หญิงคนนี้ทีไ่ด้พูดถึง เมื่อเวลาผีเข้า ไม่มีแรง แม้กระทั่งจะเดิน แต่เมื่อเวลาผีเข้าแล้ว มีกำลังผิดปกติ วิ่งจนคนสามสี่คนจับรั้งไม่อยู่
ลักษณะประการที่สาม มีความโกรธแค้นอย่างรุนแรง
ในมาระโก 5:4 เมื่อมีอารมณ์โกรธแล้วโกรธอย่างจับจิตจับใจ โกรธอย่างร้ายแรงจนขนาดที่ว่าระเบิดออกมาเป็นการกระทำ
ลักษณะประการที่สี่ มีความเสื่อมทางสภาพจิต
คือ มีสภาพจิตที่ไม่ปกติ เช่น วิ่งเข้าหาพระเยซูคริสต์ ขอให้สังเกตว่า พระคัมภีร์ตอนนั้นบอกว่า มันวิ่งเข้าหาพระเยซูคริสต์ "กลัวจนตัวสั่น"
ลักษณะประการที่ห้า ต่อต้านสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรง
ในมาระโก 5:7 เรื่องนี้ขอให้เข้าใจว่าเราจะต้องสังเกตและลองวิญญาณ ทดสอบดูว่าวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณที่มาจากวิญญาณชั่วหรือไม่ พระคัมภีร์ได้ชี้ให้เราเห็นชัดว่า วิญญาณใดที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่บังเกิดมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็เป็นมาจากพระเจ้า ฉะนั้น คุณมีสิทธิ์ที่จะสังเกตและพิสูจน์วิญญาณเหล่านี้ได้เหมือนกัน
ผมเคยมีประสบการณ์เมื่อเจอวิญญาณชั่ว อยากรู้ว่ามันเป็นวิญญาณชั่วหรือไม่ ผมจะเทศนาหรือไม่ก็อธิษฐาน แต่การอธิษฐานต่อหน้าผู้หญิงหรือผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง ผมไม่หลับตา เพราะเคยมีประสบการณ์ว่าเมื่อขณะอธิษฐานถึงเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า เรื่องการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน เรื่องพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ชนะวิญญาณชั่ว เมื่ออธิษฐานถึงตอนนี้มันสั่น มันทนอยู่ไม่ได้ และมันเริ่มสำแดงอาการของมันออกมา ทันที่ที่จะทำร้ายร่างกายของเรา ตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยหลับตาอธิษฐาน เมื่ออธิษฐานขับไล่วิญญาณชั่ว ต้องลืมตาอยู่ แล้วเทศนาให้มันฟังถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
ลักษณะประการที่หก อาจจะมีการขอย้ายไปที่อื่น ๆ
เช่น ในกรณีผีขอเข้าไปในสุกร (มาระโก 5:13) หรือเข้าในวัตถุ หรือบุคคลอื่น ๆ ก็ได้
ลักษณะประการที่เจ็ด อาจจะมีการสังเกตรู้บางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือธรรมดาได้
เช่น มาระโก 5:7 มันสังเกตรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร ลักษณะอย่างอื่น ๆ ที่สังเกตโดยทั่วไป ถ้ามีบางคนที่นิสัยเลว หรือบังคับตัวเองไม่ได้ในเรื่องเพศก็ดี หรือเรื่องความโกรธแค้นก็ดี แม้แต่ความกลัวหรือการทรมานทางจิตใจก็ดี ความคิดแปลกในแง่หนึ่งแง่ใดก็แล้วแต่ อาจจะมีเบื้องหลังของการถูกรบกวนจากวิญญาณชั่วหรือผีก็ได้ การมีใจขมขื่น ไม่ให้อภัยต่อกัน ถ้าสารภาพแล้วอย่างจริงใจก็ยังไม่ลืม คงเป็นผีซึ่งเป็นเบื้องหลังในเรื่องนี้ เพราะการพ้นภาวะนั้นไม่ใช่ด้วยการสารภาพอย่างเดียว แต่ด้วยการขับผีออกในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าด้วย
มาจาก: http://www.followhissteps.com/web_christianstories/defeat.html
พระเยซูผู้พิชิตผีและวิญญาณร้าย

เมื่อเราพิจารณาถึงเรื่องทูตสวรรค์และผี เรากำลังเข้าสู่มิติใหม่ มิติที่ไม่ได้อาศัยสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) แม้สัมผัสไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทูตสวรรค์และเรื่องผีไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ในพระคัมภีร์เดิม พูดถึงพวกทูตสวรรค์ 17 เล่ม รวม 108 ครั้ง และในพระคัมภีร์ใหม่พูดถึง 165 ครั้ง ในปัจจุบันนี้ คนทั่วโลกกำลังตื่นเต้นเรื่องวิญญาณ แต่จะเป็นวิญญาณดีหรือวิญญาณชั่วก็ไม่รู้ พวกเขาขอให้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็แล้วกัน ดังนั้น จะเห็นว่ามีอะไร ๆ เกี่ยวกับเรื่องผีผี วิญญาณต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ภาพยนตร์หมอผีเอ็กเซอร์ซิสซ์ เป็นต้น คริสเตียนจึงควรจะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะการดำเนินชีวิตคริสเตียนก็เปรียบเหมือนอยู่ในสนามรบ โลกกำลังมีสงครามระหว่างอำนาจมืดกับอำนาจของพระเจ้า และเราอยู่ในท่ามกลางสงครามนี้ ฉะนั้น ในฐานะคริสเตียน ทุกคนเป็นทหารของพระคริสต์ จึงจำเป็นต้องรู้ยุทธอุบายทุกอย่างของฝ่ายตรงข้าม และต้องมีอาวุธที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้ ในหนังสือเอเฟซัศบทที่ 6 ได้เตือนคริสเตียนทุกคนให้ระวังตัวอยู่เสมอ และให้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของผีมารซาตานได้ เมื่อดูเบื้องหลังของคนไทย ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพวกภูตผีปีศาจ แม้แต่ผมเองก็เป็นหลานหมอผี และเกือบจะเป็นหมอผีด้วยเหมือนกัน แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ช่วยผมทัน ไม่ให้ผมตกไปเป็นเครื่องมือของผีมารซาตาน ฉะนั้น ในฐานะที่ผมเป็นคนไทย และเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจึงอยากจะอธิบายเรื่องนี้จากพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจกันอย่างชัดเจนว่า "ซาตานกับผีเกี่ยวข้องกันอย่างไร" เพื่อเราจะได้รู้ยุทธอุบายของมัน รู้การงานและลักษณะของมันด้วย สถานการณ์ต่าง ๆ ในโลกกำลังวุ่นวาย และผู้ที่อยู่ที่เบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านี้ ก็คือ ซาตานกับพรรคพวกของมันนั่นเอง พวกมันกำลังปลุกปั่นยุยงให้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นทุกที ที่มา http://www.followhissteps.com/web_christianstories/defeat.html ฉะนั้น ให้เรามาพิจารณาถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะเพียงอยากรู้อยากเห็น แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือกิจการทั้งสิ้นของซาตาน |
ประสบการณ์เรื่องผีๆ ของอาจารย์ใหญ่

ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีความเชื่อผสมปนเปกันหลายอย่าง คือ คุณตาเป็นผู้นำทางศาสนาพุทธ ส่วนคุณปู่เป็นหมอผี เมื่อผมเกิดมา คุณปู่ก็มาหาพ่อของผมว่า ผีได้เลือกผมเป็นทายาทหมอผีต่อจากคุณปู่ ดังนั้น ท่านจึงพาผมไปอยู่ด้วย เพื่อจะฝึกฝนวิชาการ เรียนไสยศาสตร์ตามฉบับคุณปู่ ผู้เชี่ยวชาญทางเวทมนตร์คาถา และติดต่อกับผี ทำการอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น เสกให้บ้านหายไปได้ เดินบนไฟได้ เป็นต้น เมื่อผมอยู่กับคุณปู่ ท่านสอนวิชาทั้งหลายเหล่านี้ให้ผมจนหมด สอนให้รู้วิธีติดต่อกับผี หรือใช้ผีทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ รู้วิธีพูดคุยกับผีเหมือนกับมันเป็นคน เวลาไปไหนมาไหน ผมก็จะเดินหลังท่านไปต้อย ๆ ได้พบได้เห็นท่านทำธุรกิจต่าง ๆ กับพวกผี จนผมเองก็ทำได้ แต่ยิ่งผมเรียนรู้เรื่องผี เรื่องวิญญาณชั่วเหล่านี้มากเท่าไร ก็ยิ่งตกเป็นเหยื่อของมันมากขึ้นเท่านั้น จำได้ว่า คืนหนึ่ง คุณปู่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ คอยรับคำสั่งจากพวกผี ขณะที่ท่านกำลังเจรจากับผีอยู่ มันสั่งให้คุณปู่ทำอะไรบางอย่างที่คุณปู่ไม่ต้องการจะทำ มันก็ทำร้ายท่านจนท่านลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น เจ็บปวดเหมือนจะตาย แล้วท่านจึงสวดเป็นภาษาเขมรสู้ผี สักครู่จึงค่อย ๆ หายเป็นปกติ พอท่านออกจากห้องนั้น ผมก็ถามว่าที่สวดเมื่อกี้แปลว่าอะไร ท่านบอกว่า แปลว่า "ขอยอมแพ้ จะสั่งให้ทำอะไรก็ยอมทำทั้งสิ้น" จากนั้น ผมจึงเรียนรู้ว่า คุณปู่ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจอะไรเหนือผีเลย ที่จริงกลับเป็นเครื่องมือให้พวกมันใช้ตามใจของมัน ผมจึงตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่บัดนั้นว่า จะไม่ยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด ไม่อยากจะเป็นทาสของพวกวิญญาณชั่ว ดังนั้น เมื่อเรียนจนมัธยมปลาย และคุณปู่เสียชีวิตลง ผมไปไม่ทันดูใจท่าน แต่คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ก่อนท่านสิ้นใจ ท่านยกมรดกทางไสยศาสตร์ทั้งหมดให้ผม นั่นหมายความว่า ผมผู้เดียวที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหมอผีสืบต่อจากคุณปู่ ครั้นเมื่อไปถึงบ้าน ทุกคนมองดูผมเป็นตาเดียวด้วยความหมายว่า ผมคงจะดำรงตำแหน่งหมอผีคนต่อไป ถึงแม้จะยังอายุน้อย แต่ผมบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องการเป็นหมอผี ทุกคนจึงผิดหวังมาก ตอนนั้นมีผู้หญิงคนทรงคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับคุณปู่ คอยทำนายทายักคนที่มาขอให้ดูอนาคตอยู่ด้วย เมื่อผมปฏิเสธ หญิงคนนั้นลุกขึ้นชี้หน้าผม บอกว่า "ถ้าถึงอายุ 21 แล้วแกไม่ยอมเป็นหมอผีล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกเสีย" แต่ผมไม่กลัวเลย และยังบอกกับคุณพ่อว่า ผมไม่มีวันยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด แม้ต้องตาย ก็ดีกว่า เมื่อเป็นดังนั้น ผมรู้ว่าผีคงไม่ไว้ชีวิตผมแน่ จึงขอเงินคุณพ่อ บอกว่า ไหน ๆ ก็จะตาย ขอเงินไปเที่ยวให้มีความสุขก่อนตายเถอะ คุณพ่อก็ให้เงินจำนวนมาก และถ้าผมเห็นว่าอะไรจะทำให้ผมมีความสุข ก็ทำทันที เพื่อนฝูงก็มารุมตอมทำให้ชีวิตผมเสื่อมทรามลง กลายเป็นนักพนัน ติดยาเสพติด พิษสุราเรื้อรัง แต่ผมก็ยังไม่เคยพอใจอะไร ยิ่งทำตัวแบบนั้นมากเท่าไร ก็ยิ่งเศร้าหมองมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงรู้ว่าวิธีนี้ไม่ช่วยให้มีความสุขเลย ถึงอย่างนั้นก็ช่วยตัวเองไม่ได้ คุณตาบอกว่า ทางที่ดีที่สุด ควรจะไปบวชเณร ผมตกลงเพียงเพื่ออยากจะหาความสุขให้ได้ก่อนตาย ผมบวชเณรอยู่ 2 ปี จนกลายเป็นนักเทศน์ แต่กลับฟุ้งซ่าน และยังไม่พบความสุข แม้ว่าได้พยายามนั่งสมาธิก็แล้ว ทำใจให้ว่าง ปล่อยวางความคิด พอเลิกก็เหมือนเดิม สิ่งที่ทำให้ผมละอายแก่ใจในการเป็นเณร คือ ผมเที่ยวสอนใครต่อใครให้ทำดี แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้ ผมจึงสึกออกมาเสีย ผมเชื่อว่านี่เป็นแผนการของพระเจ้า ถ้าผมไม่เป็นคนเลว ก็คงไม่กลัวตกนรก และคงไม่แสวงหาทางหลุดพ้น จนได้พบพระเยซูอย่างนี้ คราวนี้ผมเดินทางไปหาเพื่อนที่อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ชวนเขาไปท่องเที่ยวด้วย เพราะเขารู้จักทิศทางทั่วเมืองไทยมาก เขาถามผมว่า อยากเห็นแฟนเขาไหม ผมบอกว่าอยากสิ เขาจึงพาไปที่โรงพยาบาลมโนรมย์ ตอนนั้นราว 9 โมงเช้า ที่โรงพยาบาลมีการประชุมกลางแจ้งที่ตึก OPD คนไข้นอก ผมได้ยินคนไทยพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกลียดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ แม้เขาไม่เคยทำร้ายอะไรผมเลย ผมจึงอยากลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่ทำไม่ได้ เพราะคนมาก จึงได้แต่หัวเราะเยาะ และทำให้เขาหมดกำลังใจจะได้หยุดเทศน์ ขณะที่ผมปฏิบัติการอันไม่ชอบมาพากลอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นว่า "ทุกคนเป็นคนบาป" ผมบอกว่าไม่เห็นแปลกเลย ผมรู้ว่าผมเป็นใคร แต่เขาบอกว่า "พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้" คำว่า "ฤทธิ์อำนาจ" นั้นสะกิดใจผมมาก ผมเลยอยากพิสูจน์ฤทธิ์อำนาจนี้ ตามปกติ ก่อนนอน ผมจะสวดมนต์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง อธิษฐานกับพระพุทธ และวิญญาณชั่ว ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็นอนไม่หลับ ถูกวิญญาณชั่วรบกวนทั้งคืน คืนนั้น ผมลองอธิษฐานสั้น ๆ กับพระเยซู บอกว่า "ถ้าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้จริง ทำให้ผมเห็นคืนนี้ ปกป้องให้ผมพ้นจากอำนาจของวิญญาณชั่วเถิด" แล้วผมก็เข้านอน คืนนั้นผมนอนหลับสบายมาก พอตื่นขึ้น ผมตระหนักชัดว่าพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจเหนือกว่าวิญญาณชั่วที่รบกวนอยู่ ผมจึงอยากรู้มากขึ้นว่า "พระเยซูเป็นใคร" วันต่อมา เพื่อนของผมต้องไปสอบผู้ช่วยพยาบาล เขาชวนว่า จะไปสอบด้วยไหม ผมตกลง เราจึงไปขอร้องให้ผู้ควบคุมสอบอนุญาตให้ผมเข้าสอบ ทีแรกเขาไม่อนุญาต เพราะผมไม่มีหลักฐานอะไร ผมขอร้องต่อไป และบอกว่า ถ้าสอบได้จะนำหลักฐานทุกอย่างที่ต้องการมาให้ทันที ผมประหลาดใจมากที่ในที่สุดผมได้รับอนุญาต และสอบได้ด้วย แม้จะทิ้งตำรามา 2-3 ปีแล้ว ผมกลับไปหาคุณตา แจ้งข่าวดีให้ทราบว่าผมกำลังจะได้ทำงานที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ คุณตาดีใจด้วย แต่ก็กำชับว่าห้ามฟังห้ามสนใจเรื่องคริสเตียนเด็ดขาด ที่จริงผมไปทำงานโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่เพียงอยากรู้ว่า "พระเยซูคือใคร" พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ แม้ไม่ได้บอกใครเลยก็ตาม เมื่อได้เข้าทำงาน และอีกสองสามสัปดาห์ต่อมาก็สอบเลื่อนขั้นได้อีก ขึ้นเข้าศึกษาในโรงพยาบาล จากนั้นมีประชุมยุวชน ผมอยากลงทะเบียนเข้าร่วมประชุม แต่ไม่มีเงิน เพราะเสียพนันไปหมด จึงอธิษฐานว่า "พระเยซู ผมอยากเข้าร่วมการประชุมนี้ เพราะอยากรู้จักพระองค์ ขอเงินให้ผม 10 บาทเถอะ แค่ 10 บาทเท่านั้นเอง ค่าลงทะเบียน" แล้วผมคอยเฝ้ามองทางหน้าต่างด้วยหวังว่าพระองค์จะโยนเงินเข้ามาให้ทางหน้าต่าง จากวันจันทร์ผ่านไปถึงวันศุกร์ตอนเย็น เย็นนี้แหละจะเริ่มการประชุมแล้ว บ่ายนั้นเอง พ่อแม่ของผมมาหา บอกว่า "ทำไมลูกไม่เขียนจดหมายถึงพ่อแม่เลย นี่คิดถึงลูกมาก" ท่านก็โยนเงินให้แล้วก็กลับไป พระเยซูตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ เพราะการกระทำเช่นนี้มิใช่ปกติวิสัยของพ่อแม่ของผมที่จะมาหาเพียงเพื่อให้เงินไว้ใช้ ธรรมดาท่านจะต้องอยู่พักค้างคืนคุยแล้วคุยอีก ผมจึงได้เข้าร่วมประชุมในตอนเย็น ครั้งนี้ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริง เพราะทุกอย่างเหมือนจัดไว้เฉพาะ การประชุมไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากชีวิตของพระเยซู เขาสอนเรื่องพระเยซู ตั้งแต่ก่อนเกิด แล้วเรื่อยไปจนถึงตาย เมื่อเขาพูดถึงพระเยซูแบกไม้กางเขนไปยังแดนประหาร ผมไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ คิดว่าคนที่สมควรตาย คือ ผมเอง ไม่ใช่พระเยซู แต่พระเยซูยอมตายเพื่อบาปของผม เวลานั้นผมไม่คิดถึงใครเลย มันเหมือนผมอยู่คนเดียวในโลก และพระเยซูมาเพื่อตายไถ่บาปแทนโดยเฉพาะ เมื่อเขาเทศนาจบแล้ว ผมเข้าไปหามิชชันนารีผู้ดูแลคริสตจักรมโนรมย์ และถามว่าผมจะขอให้พระเยซูเป็นพระผุ้ช่วยให้รอดส่วนตัวของผมได้อย่างไร ท่านถามว่าผมรู้สึกอย่างไร ผมตอบว่ารู้สึกตัวว่าเป็นคนบาป และพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวที่ช่วยผมได้ ท่านจึงนำผมอธิษฐานต้อนรับพระเยซู วินาทีนั้น ผมได้รับคำตอบซึ่งพยายามค้าหามานาน เมื่อต้อนรับพระเยซูแล้ว ผมพบสันติสุขในใจอย่างแท้จริง วิญญาณชั่วอะไรอื่น ๆ ที่ผมเคยลิ้มลองนั้นไม่สามารถให้สันติสุขนี้แก่ผมได้ พระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ ผมดีใจมาก อยากรู้จักพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ร้องไห้ ... ร้องใหญ่เลย เพราะซาบซึ้งในความรักของพระองค์ จากนั้น พระเจ้าส่งคนมาสอนพระคัมภีร์ให้ทุกคืน ช่วยให้ผมเข้าใจอะไร ๆ ดีขึ้น รู้จักฤทธิ์อำนาจความยิ่งใหญ่ของพระเยซูมากขึ้น รู้จักพึ่งพาในพระองค์จริง ๆ ในที่สุด ผมก็รับศีลบัพติศมา ผมจำคืนที่รับบัพติศมาได้ วิญญาณชั่วโจมตีใหญ่เลย และพยายามจะดึงผมกลับ คืนนั้น ขณะที่ผมกลับบ้าน ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเห็นหลายครั้งแล้วเมื่อตอนที่คุณปู่ยังอยู่ มันจะปรากฎบ่อย ๆ เหมือนเป็นเงา ผมจำลักษณะได้ แต่ไม่มีตัวตน ผู้หญิงคนนั้นมายืนข้าง ๆ บอกว่า "ฉันต้องเอาเจ้ากลับไป" ผมบอก ไม่ไปด้วย มันก็พูดซ้ำอีก และพยายามดึงขาผม ขาจึงไปติดกับขอบปลายเตียง ผมตกใจตื่น แปลกมาก แม้เป็นเพียงความฝัน แต่ก็เกิดขึ้นจริง ๆ ตัวผมร่นไปจนเท้าติดปลายเตียงอย่างในฝัน แล้วยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า ผมบอกกับมันว่า "ฉันไม่ไป เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว" พอพูดคำว่า "ลูกของพระเจ้า" มันก็กลัว ผมบอกว่า "ฉันเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว" มันกลัวมาก เมื่อได้ยินคำว่า พระเยซู ผมจังไล่ให้มันไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักใช้พระนามของพระเยซู แม้จะไม่เคยรุ้มาก่อน มันล้มลงแล้วลุกเดินลงไปชั้นล่าง ผมไปปลุกเพื่อน ชวนเขามาดู เขาก็เห็นผู้หญิงนี้เดินออกจากห้องโถงใหญ่ออกไปข้างนอก พอถึงต้นไม่ใหญ่ก็หายไป แต่นี่ยังไม่จบบทบาทของมัน มันยังมารบกวนอีกในรูปแบบต่าง ๆ กัน แต่ผมไม่กลัวแล้ว เพราะรู้ว่าชนะแล้ว ยิ่งเผชิญกับผลงานของผีและวิญญาณชั่วมากเท่าไร ผมก็ยิ่งขอบคุณพระเจ้า เพราะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยิ่งใหญ่ขึ้น เมื่อเชื่อพระเจ้า ผมรู้ว่ามีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอยู่ภายในที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ภายนอก และผมเป็นบุตรของพระองค์ จึงมีสิทธิอำนาจที่จะใช้พระนามของพระองค์เอาชนะฝีวิญญาณชั่ว
แม้ผมจะรู้เคล็ดลับวิธีเอาชนะวิญญาณชั่วแล้วก็ตาม แต่เมื่อแต่งงานแล้วกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้วิญญาณชั่วทำร้ายผมไม่ได้ แต่มันพยายามไปทำร้ายภรรยาและลูกแทน นี่เป็นเรื่องใหม่จริง ๆ สำหรับผมซึ่งไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้สนใจ มาเข้าใจเมื่อลูกสาวอายุได้ 3 ขวบ ลูกคนนี้มักจะร้องกรี๊ด ๆ แทบทุกคืนนับตั้งแต่เกิดมา จนไม่สามารถปล่อยไว้ลำพังได้ ต้องคอยเอามือโอบกอดหรือวางไว้บนหลังหรือท้องเพื่อลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่อยู่ด้วย มิฉะนั้นลูกจะนอนไม่หลับ กลัวอะไรบางอย่าง บางครั้งผมก็ตีลูกเพราะคิดว่าลูกเกเร วันหนึ่ง เราสามคนพ่อแม่ลูกร้องเพลงอธิษฐานกัน ขณะที่สรรเสริญพระเจ้า ลูกสาวก็ร้องไห้ ผมแปลกใจมาก พอสรรเสริญพระเจ้าอีก ลูกก็ร้องไห้อีก และบอกให้หยุดร้องเพลง ไม่อยากได้ยิน ผมจึงรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ปกติแน่ จะต้องมีอะไรรบกวนลูกแน่ ผมอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยสำแดงให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ตอบและเปิดตาให้ผมเห็นเงาของผู้ที่มารบกวนลูกในรูปแบบต่าง ๆ บางทีก็เป็นเงามืดปกคลุม ผมจึงสั่งในพระนามพระเยซูว่า "ไม่ว่ามันจะเป็นใคร จงไปให้พ้น" มันก็ไป ๆ มา ๆ ผมขอพระเจ้าช่วยให้รู้วิธีกำจัดมัน ต่อมา ผมได้พบอาจารย์ อาเธอร์ นีล ที่เป็นคนช่วยอธิษฐานขับไล่วิญญาณออกจากราชินีแม่มด ดอรีน ซึ่งมีผีถึง 36 ตัว ออกจากเธอ อีกครั้งได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่คาร์ดิฟ ตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน ผมรู้สึกมีอะไรบางอย่างพยายามผลักผมออกไปนอกบ้าน ผมไม่ได้บอกให้ลูกและภรรยาทราบเพราะเกรงว่าพวกเธอจะตกใจกลัว เพียงแต่บอกภรรยาให้เอาลูกมานอนด้วย แต่ลูกอยากนอนห้องเด็ก ซึ่งมีของเล่นมากมาย ผมก็ยอมตาม โดยคอยระวังฟังเสียงลูก ราวตีหนึ่งลูกก็กรีดร้อง ผมวิ่งเข้าไปหา ก็เห็นผี 5-6 ตัว ล้อมรอบอยู่ ผมโกรธมาก อยากสู้กับมัน เลยวิ่งเข้าหามัน มันก็วิ่งไล่ ผลักผมล้มลงตัวแข็งทื่อ กระดุกกระเดี้ยไม่ได้ ผมไม่กลัว แม้จะสู้ด้วยแรงตัวเองไม่ไหว แต่ก็รู้วิธีเอาชนะมัน แม้ไม่ได้ออกเสียงเลยก็ตาม ผมพูดในใจว่า "ในพระนามพระเยซูชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้นเราเดี๋ยวนี้" ผมเห็นพวกมันเหมือนถูกผลักกระเด้งจนล้ม จึงวิ่งเข้าไปจะจับ มันเลยหายตัวไป วันรุ่งขึ้น เลขานุการของโบสถ์มาเล่าประวัติบ้านนี้ให้ฟัง ผมจึงบอกว่ารู้แล้ว เพราะเมื่อคืนถูกผีรบกวนใหญ่เลย บ้านนี้เคยเป็นที่อยู่ของเด็กติดยา และพวกนี้บูชาซาตานและผีในบ้านด้วย ภายหลังโบสถ์ซื้อบ้านนี้ไว้ และพบเทียนเล่มหนึ่ง ศิษยาภิบาลจึงหยิบเทียบเล่มนั้นปาทิ้งลงทะเลโดยไม่ได้ระมัดระวังตัว ไม่ได้อธิษฐานขอการคุ้มครองจากพระเจ้าเสียก่อน ทันทีที่เทียนหล่นลงน้ำ เขารู้สึกเหมือนลมพายุพัดกระโชกเข้าหาตัว รัดคอเขาไว้ จากนั้นก็ไม่สามารถพูดได้อีก หมอบอกว่าต้องเลิกเป็นนักเทศน์ เพราะคออักเสบ แต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่ายังไง ๆ เขาต้องประกาศพระคำพระเจ้า ปัจจุบันเขายังเป็นนักเทศน์อยู่ ซุ่มเสียงดีขึ้นแล้ว เพราะรู้จักวิธีต่อสู้ซาตานดีขึ้น เลขานุการของโบสถ์แปลกใจมากที่เราถูกผีรบกวนเพราะบ้านนี้ได้อธิษฐานถวายพระเจ้าแล้ว อาจารย์อาเธอร์ นีล ก็ได้อธิษฐานขับไล่แล้วด้วย ผมบอกเธอว่า "ฟังให้ดีนะ สิ่งที่ผมรู้มาอาจไม่เหมือนกับที่คุณเคยรู้ คุณปู่เคยอธิบายว่าที่ไหนก็ตามที่วิญญาณชั่วอยู่ ที่นั่นก็เป็นของมัน และมันเป็นเจ้าของที่นั่น มันจะไม่ยอมไปจนกว่าจะมีผู้มีอำนาจมากกว่ามาบังคับไล่มันออกไป ถ้าคุณขับผีที่อยู่ห้องนี้ออกไป มันจะหนีไปอีกห้องหนึ่งอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เราต้องขับมันออกไปทีละห้องจนครบทุกห้อง ในบ้านสะอาดปลอดโปร่งแล้ว จึงถวายบ้านให้พระเจ้า" เธอรีบโทรศัพท์เชิญอาจารย์ อาเธอร์ นีล เขาถามว่าผมเห็นอะไรบ้าง ผมจึงอธิบายที่พบเห็น แล้วอาจารย์ อาเธอร์ นีล ก็อธิษฐานขับไล่ เขาบอกว่า "จริงอย่างที่คุณว่า" เนื่องจากเขามีของประทานในการสังเกตวิญญาณ เขาได้เห็นว่ามันหนีออกไปหลบอยู่อีกห้องหนึ่ง เขาสามารถจำแนกความแตกต่างของวิญญาณชั่ว และอธิบายให้ผมฟังว่าวิญญาณชนิดไหนทำหน้าที่อะไร เราร่วมกันอธิษฐานขับไล่ และพาพวกเด็ก ๆ ออกไปจากบ้านเสียก่อน เพราะจำได้ว่าที่สก็อตแลนด์มีการขับไล่วิญญาณชั่ว แต่ทุกคนลืมไปว่ามีเด็กทารกนอนอยู่ในห้อง ผีจึงเข้าไปสิงเด็ก และฆ่าเด็กตาย พวกเด็ก ๆ มักจะไว้ต่อพวกวิญญาณเหล่านี้มาก และถูกโจมตีง่าย เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ผมจึงส่งลูกออกไปอยู่ที่อื่นก่อน แล้วเริ่มอธิษฐานขับไล่ผีกันจนปลอดโปร่งไปทั้งบ้าน จากนั้นถวายบ้านให้พระเจ้า ก่อนหน้านี้ มีมิชชันนารีหลายคู่ถูกผีทำร้าย มีคู่หนึ่งบอกว่า ภรรยากำลังท้องลูกอยู่ ไม่รู้ถูกใครตบจนล้มลงแท้งลูกไปเลย อาจารย์ อาเธอร์ นีล อธิบายให้ฟังว่า "ถ้าเราถูกวิญญาณชั่วรบกวนบ่อย ๆ เราสามารถส่งมันไปนรกได้ก่อนถึงเวลากำหนด โดยพระนามพระเยซู" ผมดีใจที่ทราบเรื่องนี้ และคิดในใจว่าคราวหน้า ถ้ามันมาอีก จะต้องจัดการให้เด็ดขาด เวลานั้นผมไปเรียนอยู่ที่ All Nations Bible College ผมอธิษฐานในใจว่า "พระเจ้าข้า ถ้ามีวิญญาณชั่วเข้ามาเมื่อไร ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทราบด้วย" ผมไม่เคยเอ่ยความคิดนั้นออกมา ได้แต่คิดในใจเท่านั้น พวกเราควรรู้ว่า วิญญาณชั่วไม่สามารถรู้อะไรที่อยู่ในใจของเราได้ มันรู้เพียงสิ่งที่เราพูด สิ่งที่แสดงออกมาเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งความคิดในใจ คืนหนึ่ง ลูกสาวของผมสะกิดบอกผมว่า "พ่อ พ่อ นั่นไง มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง" ลูกเห็น ผมไม่เห็น ผมจึงอธิษฐานของพระเจ้าทรงสำแดง แล้วก็เห็นเงาผู้ชายยืนอยู่ที่หน้าต่าง ผมจึงวางมืออธิษฐานเผื่อลูกสาว และสั่งผีตัวนั้นในพระนามพระเยซูคริสต์ว่า "นับแต่บัดนี้ไป เจ้าต้องไม่มารวบกวนลูกสาวอีกต่อไป เพราะลูกสาวเป็นของพระเยซู" ผมปลอบลูกสาว ให้เชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องกลัวอะไร ขอให้หลับเสีย แต่ลูกก็ไม่หลับ ยังนอนลืมตาจ้องผู้ชายคนนั้นเดินออกไปจากบ้าน ลูกถามผมว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ผมอธิบายว่า เป็นคนไม่ดี แต่ต่อไปนี้ลูกไม่ต้องกลัว เพราะมันรบกวนลูกอีกไม่ได้ ลูกมีพระเยซูที่มีอำนาจเหนือมัน ลูกจะปลอดภัยจากผี วิญญาณชั่ว นับจากนั้นมา ลูกของผมก็ไม่ถูกรบกวนอีก ผมสอนลูกว่า ให้จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ และวันข้างหน้า เมื่อมีลูกมีหลานถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็ให้ทำอย่างเดียวกับที่พ่อทำในวันนี้
อีกอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรทราบก็คือ ถ้าคุณไม่อยากถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็อย่าไปพูดถึงมันมาก บางคนชอบยกย่องมารร้ายว่ามันเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ รู้อย่างนี้ อย่างโน้น ที่จริงมันไม่ได้เก่งหรือรู้ไปหมดทุกอย่าง อาศัยพวกมากเท่านั้นเอง เราไม่ต้องยกย่องชมเชยความสามารถของมัน ไม่ต้องเอ่ยถึงมัน เราควรอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า พระองค์จะอยู่ด้วยกับเรา ยิ่งเราพูดถึงพระองค์ สรรเสริญพระองค์มากเท่าไร พระวิญญาณของพระเจ้าจะใกล้เรามากขึ้นเท่านั้น ทำให้เราเข้มแข็ง คนไทยเรามักกลัวผี ที่กลัวก็เพราะชอบพูดถึงผี ยิ่งพูดเราก็จะรู้สึกว่ายิ่งถูกรบกวน ถูกกดดัน ถ้าเราเลิกพูด หันมาพูดเรื่องพระเจ้า วิญญาณชั่วก็จะพ่ายแพ้เรา เพราะมันแพ้พระเจ้า เมื่อถูกวิญญาณชั่วรบกวน เราไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย แต่เรามีอาวุธที่พระเจ้าให้แล้ว คือ สั่งขับผีได้เลย "ในพระนามพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้น" เมื่อภรรยาของผมทำงานอยู่เวรกลางคืนในโรงพยาบาล คืนหนึ่ง เธอเห็นเงาผู้ชายเคลื่อนเข้าใกล้ โดยมีวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ และพยายามจะเอาสิ่งนั้นมาโปะหน้าของเธอ พอเธอเห็นมันเข้าใกล้ เธอตะโกนร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายตัวไป สักครู่มันก็ไปหาอีกคนหนึ่ง เขาก็ร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายไปอีก แล้วมันก็กลับมาหาภรรยาของผมอีก กลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ หนัก ๆ เข้า เธอนึกขึ้นได้ว่าผมเคยสอนว่าไม่ต้องขอความช่วยเหลือ แต่ให้ใช้สิทธิอำนาจในพระนามพระเยซูคริสต์ เธอทำตาม วิญญาณนั้นก็หายไปจริง ๆ ไม่มารบกวนอีก วิญญาณชั่วเป็นเหมือนหมา ถ้าเรากลัวมัน มันจะเข้ามากัด ผมเรียนรู้เรื่องนี้จากหมอเฮนรี่ อาจารย์ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพฯ เราไปประกาศข่าวประเสริฐด้วยกัน เราร้องเรียกให้คนเข้ามาฟังพระคำพระเจ้า มีใครมา มีแต่หมาวิ่งไล่ จนผมต้องวิ่งหนีไปรอบหมอเฮนรี่ ในที่สุดท่านก็ไล่มันไป ท่านบอกว่าผมขาดความเชื่อ ผมถามว่ารู้ได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่ใช่ท่านรู้คนเดียว หมามันก็ยังรู้ ผมจึงได้คิด หมารู้ว่าใครกลัวมัน ท่านบอกว่าถ้าคิดว่ารพะเจ้ายิ่งใหญ่น้อยกว่าละก็ อย่าเชื่อพระองค์เลย ถ้าเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า ค่อยเชื่อ จากนั้นผมไม่เคยกลัวอีกเลย วิญญาณชั่วเช่นกัน มันรู้ว่าใครกลัวมัน ซาตานเหมือนสิงห์คำราม คอบจับจ้องคนที่มันจะกัดกินได้ มันทำให้คนกลัว ตกใจ หดหู่ แต่อย่าลืมว่าเรามีสิทธิอำนาจเหนือมัน เพราะเราเป็นคนของพระเยซูคริสต์ เราต้องรู้วิธีใช้สิทธิอำนาจนี้ ดอรีน ราชินีแม่มด ที่กลับใจมาเชื่อพระเยซู เล่าให้ฟังว่า ที่เธอกลับใจ เพราะเธอรู้ว่าพระเยซูมีอำนาจเหนือมารซาตาน ตอนก่อนเชื่อพระเจ้า เธอเคยได้ยินคริสเตียนอธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า เธอรู้สึกเกลียดชัง ไม่พอใจ และอยากจะทำร้ายพวกนี้ ดังนั้น เวลามีคริสเตียนเดินผ่านบ้าน เธอจะส่งผีทำร้าย แม้กระทั่งเด็กเล็ก ๆ ที่เชื่อพระเจ้า ผีกลับมาหาเธอด้วยความผิดหวัง เพราะมันแตะต้องคริสเตียนไม่ได้เลย แม้ว่าคนที่เชื่อนั้นเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ เธอจึงคิดได้ว่าพระเยซูต้องมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าซาตาน เธอจึงหันมาหาพระเยซูคริสต์เพื่อปลดปล่อยเธอจากอำนาจของมารซาตาน เธอจึงหันมาหาพระเยซูคริสต์เพื่อปลดปล่อยเธอจากอำนาจของมารซาตาน ดังนั้น เราที่เป็นลูกของพระเจ้าจึงไม่ต้องกลัวผีมารซาตานอีกแล้ว
ศจ. สมศักดิ์ ชูสงฆ์ จากหนังสือ พระคริสต์พิชิตซาตาน ที่มา http://www.followhissteps.com/web_christianstories/defeat.html สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร |