ข้อเท็จจริงจากหนัง คนไล่ผี - The Rite
The Rite: คนไล่ผี
ที่จริงผมไม่ใช่นักดูหนังและไม่ใช่นักวิจารณ์ภาพยนต์ ปีๆ หนึ่งผมอาจจะดูไม่กี่เรื่อง คิดว่าไม่ถึงสิบเรื่อง หรือบางทีอาจจะเป็นแค่สักสองสามเรื่องต่อหนึ่งปี แต่ว่าคราวนี้ ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง "คนไล่ผี" (The Rite) เพราะเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นชาวพุทธแนะนำให้ดูเพราะเขาบอกว่า “นายต้องดูนะ เพราะว่ามันเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ของนาย และนายชอบไล่ผี” มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขับผี
ก่อนที่ผมจะวิจารณ์เรื่องคนไล่ผี ผมก็ขอเล่าเรื่องย่อๆ ของภาพยนต์เรื่องนี้สักนิดหนึ่งเพื่อเป็นการเพิ่มความเข้าใจ ในการเข้าใจการอภิปรายของผมเกี่ยวกับแนวคิดของภาพยนต์เรื่องนี้
เครื่องรางมหามงคล อภิมหาลาภจริงหรือ
ประชาอิสราเอลเอ๋ย
จงฟังพระวจนะซึ่งพระเจ้าตรัสกับเจ้า
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า
“อย่าเอาอย่างบรรดาประชาชาติ
หรืออย่าคร้ามกลัวเพราะหมายสำคัญของท้องฟ้า
ตามที่บรรดาประชาชาติคร้ามกลัวนั้น"
"เพราะธรรมเนียมของชนชาติทั้งหลายก็เท็จ
เขาตัดต้นไม้มาจากป่าต้นหนึ่ง
เป็นสิ่งที่มือช่างได้กระทำด้วยขวาน"
เขาทั้งหลายก็เอาเงินและทองมาประดับ
เขาตอกไว้แน่นด้วยค้อนและตะปู
มันก็เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้
รูปเคารพของเขาก็เหมือนหุ่นหลอกกา
อยู่ในสวนแตงกวา
มันพูดไม่ได้
คนต้องขนมันไป
เพราะมันเดินไม่ได้
อย่ากลัวมันเลย
เพราะมันทำร้ายไม่ได้
มันก็ทำดีไม่ได้ด้วย”
ข้าแต่พระเจ้า หามีผู้ใดเหมือนพระองค์ไม่
พระองค์ทรงเป็นใหญ่และพระนามของพระองค์มีฤทธิ์มาก
ข้าแต่พระราชาแห่งบรรดาประชาชาติ ผู้ใดจะไม่ยำเกรงพระองค์
เพราะพระองค์สมควรแก่การอย่างนี้
เพราะในบรรดาปราชญ์ของบรรดาประชาชาติ
และในบรรดาราชอาณาจักรทั้งสิ้นของเขา
ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์
เขาทั้งหลายทั้งบัดซบและโง่เขลา
การตีสอนของรูปเคารพนั้นก็เป็นแต่ไม้
เครื่องเงินทุบนั้นเขาเอามาจากทารชิช
และเอาทองคำมาจากเมืองอุฟาส
เป็นผลงานของช่างฝีมือและเป็นผลน้ำมือของช่างทอง
เสื้อผ้าของรูปเคารพนั้นสีครามและสีม่วง
เป็นผลงานของคนชำนาญทั้งนั้น
แต่พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และเป็นพระมหากษัตริย์เนืองนิตย์
พอทรงพระพิโรธแผ่นดินก็หวั่นไหว
และบรรดาประชาชาติจะทนต่อความกริ้วของพระองค์ไม่ได้
เจ้าจงพูดกับเขาทั้งปวงดังนี้ว่า
“บรรดาพระเจ้าผู้ที่มิได้ทรงสร้างสวรรค์และโลกจะพินาศไปจากโลก
และจากภายใต้สวรรค์”(ความข้อนี้ ในต้นฉบับเขียนเป็นภาษาอารัม)
ผู้ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์
ผู้ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยสติปัญญาของพระองค์
และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วย ความเข้าใจของพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า
และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ
ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน
และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์
มนุษย์ทุกคนบัดซบและไม่มีความรู้
ช่างทองทุกคนจะได้อายเพราะรูปเคารพของตน
เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ
และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น
มันเป็นของไร้ค่า และเป็นผลงานที่น่าเยาะเย้ย
มัน
จะต้อง
พินาศ
เมื่อถึงเวลา
การลงโทษ
จากพระธรรมเยเรมีห์ บทที่ 10
ตอนที่สอง
วิบัติแก่ผู้ที่กล่าวแก่สิ่งที่ทำด้วยไม้ว่า "จงตื่นเถิด"
แก่หินใบ้ว่า "จงลุกขึ้นเถิด"
สิ่งนี้สั่งสอนอะไรได้หรือ
ดูเถิด สิ่งนั้นกะไหล่ทองคำหรือเงิน
แต่ไม่มีลมหายใจในสิ่งนั้นเลย
จากพระธรรมฮาบากุก (Habakkuk) 2:19
ท่านรู้แล้วว่าแต่ก่อนท่านยังเป็นคนต่างศาสนาอยู่นั้น ท่านถูกชักนำให้หลงไปนับถือรูปเคารพซึ่งพูดไม่ได้
พระธรรม 1 โครินธ์ 12.2
เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่
แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระและจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์จตุบาท และรูปสัตว์เลื้อยคลาน
เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติอุลามกตามราคะตัณหาในใจของเขาให้เขากระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน
เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับความสรรเสริญเป็นนิตย์
อาเมน พระธรรมโรม 1.20-25
รูปเคารพของคนเหล่านั้นเป็นเงินและทองคำ
เป็นหัตถกรรมของมนุษย์
รูปเหล่านั้นมีปาก แต่พูดไม่ได้
มีตา แต่ดูไม่ได้
มีหู แต่ฟังไม่ได้ยิน
มีจมูก แต่ดมไม่ได้
มีมือ แต่คลำไม่ได้
มีเท้า แต่เดินไม่ได้
รูปเหล่านั้นทำเสียงในคอไม่ได้
ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น
เออ บรรดาผู้ที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน
จากพระธรรมสดุดี 115.4
... (หากพวกเจ้าทั้งหลายไม่สามารถมองเห็นสัณฐานของพระเจ้าได้)
จงระวังเถิด เกรงว่าท่านทั้งหลายจะหลงทำรูปเคารพ แกะสลักสำหรับตัวท่านทั้งหลาย เป็นสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เป็นรูปตัวผู้หรือตัวเมีย
เหมือนสัตว์เดียรัจฉานอย่างใดในโลก
เหมือนนกที่มีปีกบินไปในอากาศ
เหมือนสิ่งใดๆที่คลานอยู่บนดิน
เหมือนปลาอย่างใดที่อยู่ในน้ำใต้แผ่นดินโลก
และจงระวังให้ดีเกรงว่าพวกท่านเงยหน้าขึ้นดู
ท้องฟ้าและเมื่อท่านเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว คือบริวารของท้องฟ้า
พวกท่านจะถูกเหนี่ยวรั้งให้นมัสการและปรนนิบัติ
สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งซึ่งพระยาเวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงแบ่งแก่ชนชาติทั้งหลายทั่วใต้ฟ้าทั้งสิ้น
จากพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 4.16
“อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
จากพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 5:8
พระเจ้าที่แท้จริงมนุษย์จะสร้างขึ้นด้วยมือของตนเองหรือ
เบื้องหลังรูปเคารพและรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคือใครกันแน่
คำภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้จารึกไว้ในพระธรรมฟิลิปปีบทที่ 2 ข้อที่ 9-11 ดังนี้
"เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลกใต้พื้นแผ่นดินโลกจะคุกลงกราบพระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่า...
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
คำพยากรณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนวันสิ้นโลก ของพระเยซู End time prophecy
"จะมีหมาย สำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่ง มีความฉงนสนเท่ห์ เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น"
"เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น"
"เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น"
"เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น"
วรรคสุดท้ายนี่โดนเต็มๆ เลยนะ
นึกไม่ถึงว่าแค่น้ำทะเลจะทำอันตราย และสร้างความวิบัดแก่มนุษย์ได้มากขนาดนี้ ตอนผมเป็นเด็กผมคิดได้แค่ว่า ทะเลมีพายุ หรือทะเลหนุนทำให้บ้านเรือนติดชายฝังเสียหาย เท่านั้น แต่นี้มันเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ
...แล้ว บุตรมนุษย์ จะมาในเมฆด้วยฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่
และอย่าง ทรงเกียรติ
“อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลารวมทุกชนิด
เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย
ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
กลับไปหน้าแรกของเว็บ Home
http://eavensun.blogspot.com/2011/03/massive-89-earthquake-and-tsunami.html
Tags: วันสิ้นโลก 2012, วันโลกาวินาศ, สงครามโลกครั้งที่สาม, อมาเก็ดดอน, วิวรณ์, ขับผี, ขับวิญญาณ, ซึนามิ, ซึนามิ, ซึนามิ,ซึนามิ, ซึนามิ, วันมรณะ, ลางร้ายก่อนวันสิ้นโลก, คำทำนาย, พยากรณ์, เสริมดวง, โหราศาสตร์, อาจารย์หนู, ว วัชระเมธี, อาจารย์ปู่, หลวงพ่อ, แม่ชี, ศาสนาจารย์
สภาคริสตจักร ประธานสภาคริสตจักร เลขาธิการสภาคริสตจักร คริสเตียนสัมพันธ์ พระกิตติุคุณสมบูรณ์
เกาหลีเพรสไบทีเรี่ยน ข่าวประเสริฐ ศาลาธรรม, เจริญธรรม,
This is a picture of Thai life-Worshipping spirits.


See more of this ritual click
This is a true story. People who do not Christ walk in the dark and they do not know where they can put their faith on because many of Christian church also have become only powerless religion.
แห่ขอหวยพระพุทธรูปจอมปลวกผุดที่นาชาวอุดรฯ เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 13 ก.ค. ผู้สื่อข่าว จ.อุดรธานี ได้รับแจ้ง ว่ามีพุทธรูปจอมปลวกโผล่ ที่ทุ่งนาบ้านถ่อนน้อย หมู่ 8 ต.หนองนาคำ อ.เมืองอุดรธานี จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบเป็นที่นาของนายเขียน อินทร์ธิโรจน์ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 ม.8 บ้านถ่อนน้อย ในเนื้อที่นา 7 ไร่ 2 งาน โดยจอมปลวกโผล่ขึ้นมาคล้ายพระพุทธรูป สูง 25 เซนติเมตร กว้าง 15 เซนติเมตร มีการใช้ไม้ไผ่กั้นเอาไว้เป็นสี่เหลี่ยม พร้อมทั้งนำร่มกันแดดเอามากาง เพื่อไม่ให้ถูกฝนหรือแดด
นายเขียน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนมาที่นาก็ได้พบจอมปลวกที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปดังกล่าว จึงเล่าให้ภรรยาฟัง ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นมาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ด้วย จึงได้ปรึกษากันว่าจะไม่บอกใคร แต่ก็มีชาวบ้านมารู้เข้าแล้วพากันเล่าลือกันไปต่างๆนานา นอกจากนี้ได้มีร่างทรงเข้าทรงแล้วบอกว่า มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาขออยู่ด้วย เพราะบริเวณแห่งนี้เคยเป็นวัดมาก่อนเมื่อหลาย 100 ปีที่ผ่านมา ท่านบอกว่าจะเดินทางไป ที่คำชะโนด ตำบลวังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีพญานาคอาศัยอยู่ จึงได้แวะอยู่ที่นาแห่งนี้ก่อน เพื่อมาโปรดสัตว์โลก ทำให้ชาวบ้านยิ่งศรัทธาและทยอยกันมาขอหวยเกือบทุกวัน แม้กระทั่งเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองนาคำก็พากันมามุงดูต่างก็อธิษฐานขอ พรให้เรียนหนังสือเก่งๆ สอบได้ที่หนึ่ง
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJM09EazVNVE0yTVE9PQ==
หมายสำคัญและการอัศจรรย์ช่วยให้คนรับความรอดจริงหรือ- Sign and wonders
โดย อ. ประพันธ์ หน่อราช
ยอห์น 6.1-65
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม” (ยอห์น 6.26)
หลังจากที่พระเยซูได้ทรงทำการอัศจรรย์เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวแล้ว พระองค์ได้พาสาวกข้ามทะเลสาบไป แต่ประชาชนจำนวนมากที่ได้ลิ้มชิมรสอาหารจากสวรรค์แล้วนั้นได้พากันเดินลงเรือไปดักรอพบพระองค์ที่อีกฟากฝั่งหนึ่ง
เมื่อพบพระองค์แล้ว พวกเขาทำทีเป็นเหมือนบังเอิญที่ได้พบกับพระองค์ที่นั่น ทักทายพระองค์ทำนองว่า “เอ๊ะ พระอาจารย์มาที่นี่ด้วยหรือ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” (ข้อ 25) การมีเจตนาบางอย่างแอบแฝงซ่อนเร้น ทำให้พวกเขาต้องเสแสร้งออกไปอย่างนั้น แต่ความในใจของพวกเขาไม่อาจซ่อนเร้นจากพระเยซูได้เลย พระองค์เปิดโปงเจตนาของพวกเขาในทันที
ถ้อยคำของพระองค์แสดงถึงความผิดหวังอย่างยิ่ง “พวกท่านตามหาเรามิใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม (หรืออยากกินขนมปังอีก)” (ข้อ 26)
พระเยซูทรงแยกแยะระหว่าง การมีประสบการณ์ในการอัศจรรย์ (กินขนมปังอิ่ม) กับการ “เห็น”หมายสำคัญ...
หลายครั้ง เราอดอาหาร อธิษฐาน และคาดหวังให้เกิดการอัศจรรย์ขึ้นในการประกาศพระกิตติคุณของเรา เรามั่นใจเหลือเกินว่า “ขอเพียงพระเจ้าทำการอัศจรรย์ รับรองคนไทยทั้งประเทศมาเชื่อในพระเจ้าแน่”
แต่เชื่อว่า เราคงเคยผิดหวังเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว เปล่า... ไม่ใช่ที่ไม่ได้เห็นการอัศจรรย์หรอก การอัศจรรย์เกิดขึ้นบ่อยๆ การอัศจรรย์ยังคงเกิดขึ้นได้ในทุกวันนี้ มีคำพยานในเรื่องเหล่านี้มากมาย แต่ที่ผิดหวังก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่หายโรค และมีประสบการณ์กับอัศจรรย์ในพระเจ้าจะมาเชื่อในพระเจ้าเสมอไป
พระเยซูทรงยืนยันว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เห็นการอัศจรรย์จะเห็นหมายสำคัญเสมอไป
เมื่อผมเริ่มต้นรับใช้พระเจ้าเต็มเวลาครั้งแรกนั้น เป็นช่วงที่นักเทศน์รักษาโรคท่านหนึ่งขึ้นไปทำการที่สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ มีการอัศจรรย์และการรักษาโรคเกิดขึ้นมากมาย คริสตจักรของเราได้รับแบ่งรายชื่อผู้เชื่อใหม่มาหลายร้อยคน ผมจึงอาสาที่จะออกไปติดตามผลผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นในอำเภอชนบทแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก
มีคุณยายคนหนึ่งที่ระบุในบัตรตัดสินใจว่า หายจากอาการอัมพาต เดินไม่ได้มาหลายปี ดูตามที่อยู่ที่แจ้งไว้ คุณยายมีบ้านอยู่ใกล้ๆ ตลาดในตัวอำเภอ ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตามอยู่สองวันจึงเจอบางคนที่รู้จักคุณยายคนนี้ คนข้างบ้านยืนยันว่าคุณยายหายอัมพาตจริง แต่ตอนนี้คุณยายไม่อยู่บ้าน
ผมถามว่า ท่านไปที่ไหน? เพื่อนบ้านตอบว่า คุณยายไปฟังเทศน์และทำบุญ เพราะไม่ได้ไปวัดมานานแล้วเนื่องจากเป็นอัมพาต เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้ยินว่าไปให้หมอฝรั่งรักษาโรคที่สนามกีฬาฯ พอหายแล้วจึงดีใจมาก ได้ไปวัดเสียที
ผมก็ได้แต่งง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่หายโรคโดยพระนามของพระเยซูแล้ว กลับมองไม่เห็นความสำคัญของพระองค์เลย ทำไมการอัศจรรย์ใหญ่หลวงอย่างนั้น กลับไม่สามารถหันจิตใจของคนออกจากรูปเคารพมาสู่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ได้เลย?
คำตอบก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นการอัศจรรย์ จะเห็นหมายสำคัญเสมอไป
การอัศจรรย์กับหมายสำคัญ แตกต่างกันอย่างไร?
หมายสำคัญ ตามแนวคิดของพระคัมภีร์นั้น หมายถึง การอัศจรรย์ที่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงสัจธรรมที่สำคัญบางอย่าง
นั่นคือ พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์เดชและการอัศจรรย์ก็เพื่อจะชี้ให้คนเราเห็นความจริงที่สำคัญฝ่ายวิญญาณบางอย่างนั่นเอง
การที่พระเยซูรักษาคนตาบอด ก็เพื่อจะบ่งชี้ว่า พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก
เมื่อพระองค์ทรงรักษาโรค ทำให้คนโรคเรื้อนหายสะอาด ก็เพื่อจะสำแดงให้คนทั้งหลายได้เห็นว่า พระองค์ทรงสามารถหอบเอาความบาปของเราไปได้ เป็นพระผู้ช่วยเราให้รอดจากบาป
พระองค์ทรงทำให้ลาซารัสและคนอื่นๆ เป็นขึ้นมาจากความตายก็เพื่อเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงสัจธรรมที่ว่า “เราเป็นเหตุให้คนปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต”... พระองค์ทรงเป็นชีวิตนิรันดร์นั่นเอง
พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารจากสวรรค์แก่คนเหล่านั้น ก็เพื่อจะบ่งบอกว่า พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของพระองค์จะมีชีวิต (ข้อ 50-55)
หลายคนยังมีเศษขนมปังและเนื้อปลาติดฟันอยู่ แต่ก็ไม่เคยมองเห็นสัจธรรมที่พระเยซูพยายามจะสำแดงผ่านทางการอัศจรรย์ในครั้งนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นเป็นประสบการณ์สุดยอด.. น่าตื่นเต้น.. อร่อย.. และมันส์.. คนที่กระทำอิทธิฤทธิ์อย่างนี้ได้ต้องถือเป็นยอดคน สมควรแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ เป็นผู้นำ เพื่อจะเลี้ยงพวกเขาด้วยอาหารวิเศษเช่นนี้ตลอดไป (ข้อ 15,
...เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและวางใจในท่าน ท่านจะกระทำอะไรบ้าง บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร (เราก็อยากกินบ้าง... ได้ไหม?) (ข้อ 30-31)
พระเยซูพยายามชักนำความคิดของพวกเขาออกจากการยึดติดอยู่เพียงการอัศจรรย์ ไปสู่หมายสำคัญ
...“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า... พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” (ข้อ 33)
แต่จิตใจของพวกเขา ก็ยังคงยึดติดอยู่กับแค่อาหารฝ่ายเนื้อหนังเท่านั้น
เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้น (ขนมปัง) แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด” (ข้อ 34)
พระองค์ยังคงไม่ละความพยายาม
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” (ข้อ 35)
แต่... “เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านได้เห็นเราแล้วแต่ก็ไม่เชื่อ” (ข้อ 36)
อัครทูตยอห์น กล่าวไว้ในพระกิตติคุณบทที่ 20 ข้อ 30-31 ว่า “พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายประการต่อหน้าสาวกเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์”
นั่นคือเป้าหมายจุดประสงค์สำคัญที่สุดของการกระทำหมายสำคัญ
เพื่อให้ทุกคนได้ “เห็น” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งการเชื่อหรือการเห็นเช่นนั้นเอง ที่ทำให้เขาได้รับชีวิตนิรันดร์โดยพระนามของพระองค์
แต่น่าเศร้าใจที่ ไม่ใช่ทุกคนที่หายโรค ทุกคนที่ได้พบและสัมผัสกับการอัศจรรย์ จะได้ “เห็น” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า (ทั้งๆ ที่เป็นประสบการณ์จริง) บางคนเห็นพระองค์เป็นหมอฝรั่ง บางคนเห็นพระองค์เป็นแค่ศาสดา เป็นคนดี เป็นอาจารย์ เป็นอะไรก็ตามแต่จะจินตนาการไป แต่ไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอด
น่าเสียดายที่คริสเตียนจำนวน ทั้งๆ ที่รับเชื่อพระเจ้ามานานหลายปีแล้วก็ยังคงติดอยู่ระดับของการอัศจรรย์ และไม่เคยมองทะลุไปถึงหมายสำคัญ และก้าวเข้าไปสู่การมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์เป็นส่วนตัว
ไม่ต่างอะไรกับคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร ที่มองเห็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตลอดระยะเวลาสี่สิบปี แต่สุดท้ายก็พากันล้มตายไปในความไม่เชื่อจนหมดสิ้นทุกคน
บทเรียนสำหรับเราในเรื่องนี้คืออะไร? ไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องทำการอัศจรรย์หรือ?
เปล่าเลย ให้เราทำยิ่งมากขึ้น แต่อย่ายึดติดอยู่กับการอัศจรรย์ อย่าติดตามนักเทศน์ เพราะ “ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างบ้าน คนทำงานก็เหนื่อยเปล่า” ให้เราทำการของพระเจ้าด้วยการพึ่งพาในพระเจ้า อย่าไว้ใจในเนื้อหนัง และอย่าไว้ใจแม้แต่ในของประทานของเราเอง
“ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา จะทรงชักนำให้เขามาและเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะว่า 'พระเจ้าจะทรงสั่งสอนเขาทุกคน' ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา” (ข้อ 44-45)
โดย อ. ประพันธ์ หน่อราช 9 กุมภาพันธ์ 2010
* อ.ประัพันธ์ หน่อราช เป็นธรรมาจารย์ ที่มีของประทานในการสอน คือเป็นครูอาจารย์ (เอเฟซัส 4.11)
การสอนของท่าน ทำให้คริสเตียนได้รับความเข้าใจ และเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ เกิดการฟื้นใจอย่างมาก คริสตจักรใดสนใจติดต่อให้ท่านไปสอน ติดต่อทางอีเมล์ที่ pnawrat@gmail.com
-- ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
RW MU.